Last updated: 31 ต.ค. 2567 | 101 จำนวนผู้เข้าชม |
ตามที่นักประสาทวิทยาหลายคนได้กล่าวไว้ว่าสมองของมนุษย์เป็นหนึ่งในโครงสร้างที่ซับซ้อนที่สุดในจักรวาลและถือเป็นอวัยวะที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างสรรค์ที่สามารถทําให้เราเป็นวีรบุรุษผู้สร้างสรรค์สิ่งดีงามหรืออาจเป็นผู้ร้ายที่สามารถทําลายเราได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการสร้างภาวะผู้นำที่ดีโดยอ้างอิงจากการทำงานของสมองจึงเป็นการพัฒนาภาวะผู้นำตามธรรมชาติที่ตรงจุดและทำให้เราสามารถอธิบายได้ว่าในโลกแห่งการทำงานนั้นคนเรามีวิธีการคิดหรือการแสดงออกจากปัจจัยใด มีวิธีการใดบ้างที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไขหรือสามารถป้องกันได้ผ่านเลนส์ของกลไกการทำงานของสมองที่เข้าใจง่ายและประยุกต์ใช้ได้จริงค่ะ วันนี้ทีม Plusitives จึงอยากพาทุกท่านมาทำความรู้จักว่า "Neuroleadership" หรือ “Brain Friendly Leadership” คืออะไร? สิ่งนี้จะมาช่วยเราขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างไร? มาร่วมติดตามและเตรียมตัวสู่การมี “ภาวะผู้นำที่เป็นมิตรต่อสมอง” พร้อม ๆ กันได้ในบทความวันนี้ค่ะ
ภาวะผู้นำที่เป็นมิตรกับสมอง (Brain Friendly Leadership) คืออะไร? เหตุใดจึงมีความสำคัญ?
ภาวะผู้นําที่เป็นมิตรกับสมอง (Brain Friendly Leadership) คือ การตระหนักว่าสมองทํางานอย่างไรและนำมาผสานประยุกต์ใช้ความรู้นี้เพื่อนําตนเองและผู้อื่นอย่างเหมาะสมที่สุด ดังนั้น การทำความเข้าใจธรรมชาติของสมองมนุษย์ก็คือการเข้าใจพื้นฐานของวิธีการที่คนเราคิด วิธีการที่เราแสดงความรู้สึก รวมถึงวิธีที่เราแสดงออกผ่านการกระทำ หรือเรียกได้ว่าการทำความเข้าใจการทำงานของสมองก็เปรียบเสมือนการทำความเข้าใจคนที่ง่าย ตรงจุด และประหยัดเวลาและทรงพลังมากที่สุดนั่นเอง ในโลกของการทำงาน เมื่อเราเข้าใจหลักการทำงานของสมอง นอกจากตัวเราจะสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และทำงานได้อย่างมีความสุขแล้ว ในแง่ของการเป็นผู้นำ การทำความเข้าใจหลักการทำงานของสมองก็เปรียบเสมือนการทำความเข้าใจคนในองค์กรในเชิงลึกมากขึ้น รวมถึงเป็นการทำความเข้าใจว่าสิ่งใดที่อยู่เบื้องลึกเบื้องหลังความคิด ความรู้สึก และการกระทำของทั้งตัวผู้นำและคนในทีม ซึ่งจะทำให้ผู้นำสามารถสร้างพื้นที่การทำงานที่ปลอดภัยทางใจ (Psychological Safety) ให้กับทุกคนในทีมหรือองค์กรได้ รวมไปถึงส่งเสริมการทำงานแบบร่วมมือ (Colloboration) ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) การสื่อสารเชิงบวกที่สร้างสรรค์ (Positive Communication) สร้างแรงจูงใจ ลดความขุ่นข้องหมองใจที่อาจะเกิดขึ้น สิ่งนี้ย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิต (Mental Health) ที่ดีขึ้นของคนในองค์กร รวมไปถึงประสิทธิภาพในการทำงานและผลประกอบการขององค์กรอย่างแน่นอนค่ะ
การตอบสนองต่อภัยคุกคามเป็นอันตรายต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลหรือองค์กรค่ะ เพราะสิ่งนี้บั่นทอนการคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytic thinking) ความเข้าใจเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking) และการแก้ปัญหา (Problem Sloving) หรือพูดง่าย ๆ ว่า ความสามารถ ความคิดและจิตใจของผู้คนจะอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมทำงานเมื่อพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคาม ส่งผลให้สมองของพนักงานจะมีประสิทธิภาพน้อยลง แต่ในทางกลับกัน หากเมื่อผู้นำทำให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเอง สื่อสารความคาดหวังของพวกเขาอย่างชัดเจน ให้พนักงานมีอิสระในการตัดสินใจ สนับสนุนความพยายามของผู้คนในการทำงานและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรม ก็เปรียบเสมือนการให้รางวัลค่ะ ในเมื่อสมองของเราชอบรางวัลอยู่แล้ว แน่นอนว่าผู้คนก็ มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เปิดกว้างต่อแนวคิดมากขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น พวกเขาจะอ่อนแอต่อภาวะเหนื่อยหน่ายน้อยลงเนื่องจากรู้สึกเครียดน้อยลงและได้รับแรงจูงใจมากขึ้นนั่นเองค่ะ
ทำความเข้าใจสิ่งที่สมองเรียกว่า “ภัยคุกคาม” เพื่อ Boost การทำงานของคนในองค์กร
เมื่อเป็นผู้นำ คุณจำเป็นต้องตั้งเป้าที่จะลดภัยคุกคามต่อสมองของคนในทีมหรือองค์กรให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการทำความเข้าใจสิ่งที่สมองมองว่าภัยคุกคามค่ะ วันนี้ทีม Plusitives จะพามาดู 4Cs ที่สมองของเรามองว่าเป็นภัยคุกคาม เพื่อยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นในทีมและองค์กรของเรากันนะคะ
4Cs ที่หากขาดหายไปจะทำให้สมองเกิดการตีความว่าเป็น “ภัยคุกคาม”
1. Control (การควบคุม)
การขาดการควบคุม ทุกๆคนต่างล้วนต้องการควบคุมสถานการณ์ที่เราพบเจอกันอยู่ทั้งนั้น และมีคนน้อยมากค่ะที่จะชอบเวลาถูกสั่งให้ต้องทำอะไรสักอย่าง หากผู้นำในองค์กรมีลักษณะการทำงานแบบ “ออกคำสั่งและควบคุมการทำงาน” สมองจะมองตัวเองอาจขาดโอกาสในการคิด ตัดสินใจ และควบคุมในสถานการณ์นั้น ซึ่งสมองจะถือว่านี้คือภัยคุกคามนั่นเองค่ะ ดังนั้น ผู้นำควรปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างแรงจูงใจ ระดมสมอง การส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันหรือแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ ภายใต้เป้าหมายของส่วนรวม สิ่งนี้จะทำให้พนักงานไม่รู้สึกถึงการควบคุมและลดการตอบสนองต่อภัยคุกคามนั่นเองค่ะ
2. Consistency (ความสม่ำเสมอ)
จากมุมมองของการเอาชีวิตรอด หากมีบางอย่างผิดปกติหรือไม่เป็นไปตามรูปแบบปกติ สมองก็จะระมัดระวังอยู่เสมอว่าสิ่งนั้นเป็นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น สมองมีความสามารถในการ ตรวจจับข้อผิดพลาด ข้อความที่ขัดแย้งกัน หรือคำพูดกับการกระทำไม่สอดคล้องกัน” ดังนั้นความไม่สม่ำเสมอ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือพฤติกรรมที่เข้าข่าย “สามวันดีสี่วันไข้” จะส่งผลให้สมองรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามนั่นเอง ในฐานะผู้นำแล้วจึงเป็นการดีที่สุดที่จะมีความสม่ำเสมอและชัดเจนเกี่ยวกับการสื่อสารและการแสดงออกทางพฤติกรรมนั่นเองค่ะ
3. Competence (ความสามารถ)
สำหรับพวกเราส่วนใหญ่แล้วมักมีความรู้สึกเชิงลบที่มาพร้อมกับคำติชม (Feedback) เพราะเป็นเรื่องปกติเพราะสมองที่จะคิดลบเก่งกว่าคิดบวกเกี่ยวกับความสามารถของเราค่ะ เป้าหมายในการลดสิ่งนี้ก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางใจ (Psychological Safety) ที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้และการเติบโตพร้อมยอมรับข้อผิดพลาด ไม่ลงโทษเมื่อเจอข้อผิดพลาดหรือความล้มเหลว และถือให้มันเป็นโอกาสในการเรียนรู้พร้อมแก้ไขป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นในครั้งต่อไปนั่นเองค่ะ
4. Connectedness (ความเชื่อมโยง)
มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม สิ่งนี้ถือเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของคนเรา ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ การที่เรามีกลุ่มก้อนตั้งแต่ในระดับการศึกษา การทำงานในองค์กรในรูปแบบของทีม และแม้แต่การทำงานระหว่างสายงานหรือแผนกต่าง ๆ เราทุกคนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะเราต้องการมี Sense Of Belonging ดังนั้นสมองของเราจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหาการเชื่อมต่อกับกลุ่มหรือบุคคล หากไม่มีสิ่งนี้เราก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกคุกคาม ดังนั้นผู้นำที่ดีจึงควรพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Leadership) เพื่อทำให้ทุกคนไม่รู้สึกว่าโดนแบ่งแยกและเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันค่ะ
โดยสรุปแล้ว ผู้นำที่เป็นมิตรต่อสมอง (Brain-friendly leadership) จะสามารถเป็นผู้นำที่สามารถบริหารจัดการในลักษณะที่ช่วยให้ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองเพื่อให้สามารถจัดการกับความกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น สิ่งนี้ต้องอาศัยความเข้าใจในสิ่งที่สมองมองว่าเป็นภัยคุกคามหรือเป็นรางวัล และจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่สมองของผู้คนรู้สึกว่าได้รับรางวัล ปลอดภัย และมีแรงบันดาลใจเพื่อสนับสนุนการเติบโตและสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจในตัวของผู้นำเองและพนักงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรนั่นเองค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
https://www.aboutmybrain.com/blog/what-is-brain-friendly-leadership
https://omozua.com/5584/how-to-be-a-brain-friendly-leader/